วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 
                                   พระราชประวัติ
พระ บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ด้วง  ประสูติในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙  พระบิดามีพระนามเดิมว่า ทองดี พระมารดาชื่อ หยก
เมื่อ ทรงมีพระชันษา ๒๑ พรรษา  ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ๓ เดือน  เมื่อลาสิกขาก็ทรงเข้ารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงได้รับตำแหน่งเป็นหลวง ยกกระบัตร  ประจำเมืองราชบุรี  พระองค์ทรงมีความชำนาญในการรบอย่างยิ่ง  จึง ได้รับพระราชทานปูนกำเหน็จความดีความชอบให้เลื่อนเป็นพระราชวรินทร์  พระยา อภัยรณฤทธิ์ พระยายมราชว่าที่สมุหนายก  เจ้าพระยาจักรี  และในที่สุดได้ เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก   มีเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม  เมื่อ ทรงตีได้เวียงจันทร์   พระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)  จากเมืองจันทน์มายังกรุงธนบุรีด้วย  ต่อมาเกิดเหตุจลาจลได้ สำเร็จ  ข้าราชการและประชาชนจึงอัญเชิญเป็นพระมหากษัตริย์แทนสมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช

                                     พระราชกรณียกิจ

           พระ บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นทั้งนักปกครองและนักการทหารที่ ยอดเยี่ยม  ทรงแต่งตั้งให้เจ้านายที่เคยผ่านราชการทัพศึกมาทำหน้าที่ช่วยใน การปกครองบ้านเมืองโปรดเกล้าฯ
– ให้ชำระกฎหมายให้สอดคล้องกับยุคสมัยของบ้านเมือง คือ กฎหมายตราสามดวง
– รวมถึงการชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์อันเป็นเครื่องส่งเสริมความมั่นคงของกรุงรัตนโกสินทร์
– นอกจากนี้พระองค์ยังคงทรงส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ  ทั้งด้านวรรณกรรมที่ทรง แสดงพระปรีชาสามารถในการประพันธ์  โดยพระราชนิพนธ์  บทละครเรื่อง รามเกียรติ์  บทละครเรื่องอุณรุท  บทละครเรื่องอิเหนา  บทละครเรื่องดา หลัง  เพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดง  นอกจากด้านวรรณกรรมแล้ว  พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังทรงส่งเสริมศิลปะด้าน สถาปัตยกรรม  ประติมากรรม  และนาฏกรรม
– ภาย หลังที่ครองกรุงรัตนโกสินทร์เพียง ๓ ปี  ได้เกิดศึกพม่ายกทัพมาตีเมืองไทย  พระองค์ทรงจัดกองทัพต่อสู้จนทัพพม่า แตกพ่าย  ยังความเป็นเอกราชให้กับแผ่นดินไทยมาจนทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ อย่างล้นพ้นต่อพสกนิกรชาวไทย เป็น มหาราช อีกพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยและทรงเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชจักรี วงศ์  ที่ปกครองบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุขจวบจนปัจจุบัน

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

   สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

        พระราชประวัติ
        สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า สิน ( ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน ) เป็นบุตรของขุนพัฒน์ ( นายหยง หรือ ไหฮอง แซ่อ๋อง บางตำราก็ว่า แซ่แต้ ) และ นางนกเอี้ยง ( กรมพระเทพามาตย์ ) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ มีนาคม พ.ศ. 2277 ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมา เจ้าพระยาจักรีผู้ มีตำแหน่งสมุหนายกเห็นบุคลิกลักษณะ จึงขอไปเลี้ยงไว้เหมือนบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยได้รับการศึกษาขั้นต้นจากสำนักวัดโกษาวาส (วัดคลัง ) และ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ขวบ ที่วัดสามพิหาร หลังจากสึกออกมาแล้ว ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุครบ 21 ปีตามขนบประเพณี ของไทยบวชอยู่ 3 พรรษา หลังจากสึกออกมาได้เข้ารับราชการ ต่อ ณ. กรมมหาดไทยที่ศาลหลวงในกรมวัง ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตากจนได้เป็นพระยาตาก ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นได้ถูกเรียกตัวเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เพื่อแต่งตั้งไปเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองคนเก่าที่ถึงแก่อนิจกรรมลงใน พ.ศ. 2310 ครั้นเจริญวัยวัฒนา ก็ได้ไปถวายตัวทำราชการกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความดีความชอบจนได้รับเลื่อนหน้าที่ราชการไปเป็นผู้ปกครองหัวหน้าฝ่าย เหนือคือ เมืองตาก และเรียกติดปากมาว่า พระยาตากสิน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครองราชย์สมบัติกรุงธนบุรีได้ 15 ปีเศษ ก็สิ้นพระชนม์มีชนมายุ 48 พรรษา กรุงธนบุรีมีกำหนดอายุกาลได้ 15 ปี

      ผลงานอันสร้างชื่อของพระเจ้าตากสิน

        สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์มีความสำคัญที่ชาวไทยไม่สามารถจะลืมในพระคุณงามความดีที่ทรงกอบกู้ เอกราชเริ่มแต่ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ.2309 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช 1128 ปีจอ อัฐศก พระยาวชิรปราการ (ยศในขณะนั้น) เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงต้องเสียทีแก่พม่า จึงตัดสินใจรวบรวมทหารกล้าราว 500 คน ตีฝ่าวงล้อมทหารพม่า โดยตั้งใจว่าจะกลับมากู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนให้ได้โดยเร็ว ทรงเข้ายึดเมืองจันทบุรี เริ่มสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ กำลังทหาร เพื่อเข้าทำการกอบกู้กรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน นพศก จุลศักราช 1129 ตรงกับ พ.ศ.2310 และสมเด็จพระเจ้าตากสิน สามารถกู้กลับคืนมาได้ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก ซึ่งตรงกับวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 รวมใช้เวลารวบรวมผู้คนจนเป็นทัพใหญ่กลับมากู้ชาติด้วยระยะเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น เมื่อทรงจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยพอสมควร บรรดาแม่ทัพ นายกอง ขุนนาง ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ตลอดทั้งสมณะพราหมณาจารย์และอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย จึงพร้อมกันกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงปราบดาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ ณ วันพุธ เดือนอ้าย แรก 4 ค่ำ จุลศักราช 1130 ปีชวด สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2310 ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่เรียกขานพระนามของพระองค์ติดปากว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

         พระราชกรณียกิจที่สำคัญ ๆ

        นอก จากพระราชกรณียกิจในด้านกู้ชาติแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสิน ยังได้ปราบอริราชศัตรูที่มักจะล่วงล้ำเขนแดนเข้ามาซ้ำเติมไทยยามศึกสงคราม อยู่เสมอ จนในสมัยของพระองค์ได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างไพศาล กล่าวคือ
ทิศเหนือ ได้ดินแดนหลวงพระบาง และเวียงจันทน์
ทิศใต้ ได้ดินแดนกะลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาว เขมร ทางฝั่งแม่น้ำโขงจดอาณาเขตญวน
ทิศตะวันตก จรดดินแดนเมาะตะมะ ได้ดินแดน เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี
พระองค์ ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการฟื้นฟูและสร้างวรรณกรรม นาฏศิลป์ และการละครขึ้นใหม่ แม้ว่าจะมีศึกสงครามตลอดรัชกาล กระนั้นก็ยังทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ถึง 4 เล่ม สมุดไทย ในปี พ.ศ.2312 นับว่าทรงมีอัจฉริยภาพสูงส่งเป็นอย่างมาก และในรัชสมัยของพระองค์มีกวีที่สมควรได้รับการยกย่อง 2 ท่าน คือ
  1. นายสวน มหาดเล็ก ซึ่งแต่งโคลงสี่สุภาพ แต่งขึ้นเพื่อยกพระเกียรติและสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 85 บท เป็นสำนวนที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่าด้วยเป็นหลักฐานที่คนรุ่นต่อมาได้ทราบถึงสภาพบ้านเมืองและความ เป็นไปในยุคนั้น
  2. หลวงสรวิชติ (หน) ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาพระคลัง (หน) งานประพันธ์ของท่านเป็นที่รู้จักและแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน เช่น สามก๊ก เป็นต้น
พระ เจ้าตากสิน ยังโปรดให้มีการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การติดต่อการค้ากับต่างประเทศ ในด้านการปกครอง หลังจากสถาปนาเมืองธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว ทรงจัดวางตำแหน่งหน้าที่ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ทรงสอดส่องทุกข์สุขของราษฎร และหลังจากกอบกู้แผ่นดินได้แล้ว พระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศมา จัดถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติและยังทรงรับอุปการะบรรดา เจ้าฟ้า พระองค์ฟ้า พระราชโอรส ตลอดทั้งพระเจ้าหลานเธอของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ ด้วยความกตัญญูกตเวที

            ถวายพระนามมหาราช และการสร้างพระราชอนุสาวรีย์


        ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ตามที่กล่าวมาแล้ว ประชาชนทุกหมู่เหล่าจึงพร้อมใจกันถวายพระนาม “มหาราช” แด่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และรัฐบาลอันมี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้พร้อมใจกันสร้างพระราชอนุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี ซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากรขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบ ทางราชการได้ประกอบพระราชพิธีเปิดและถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2497 และในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2497 จึงมีรัฐพิธีเปิดเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลา ถวายราชสักการะ ต่อมาทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสวยราชย์ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทย เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ประวัติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระราชประวัติ
ตรา พระราชลัญจกร พระบรมราชโองการสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกัลยาณี อัครราชเทวี พระราชมารดาเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อ วันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. ๒๑๗๕ และทรงมีพระนมอยู่พระองค์หนึ่งคือ เจ้าแม่วัดดุสิต ทรงเป็นพระอนุชาใน สมเด็จเจ้าฟ้าไชย และยังทรงมีพระอนุชาอีกได้แก่

เจ้าฟ้าอภัยทศ
พระไตรภูวนาทิตยวงศ์
พระองค์ทอง และ
พระอินทราชา
นอก จากนี้พระองค์ยังทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระชนนีองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธาทิพในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกเสด็จพระบรมราช สมภพนั้น พระองค์มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้านรินทร์" แต่เมื่อขึ้นพระอู่ พระญาติเห็นพระโอรสมีสี่กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า "พระนารายณ์" ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัด เล่าว่าเมื่อเพลิงไหม้พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระโอรสเสด็จไปช่วยดับเพลิง ผู้คนเห็นเป็นสี่กร จึงพากันขนานพระนามว่า พระนารายณ์  พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์นั้นเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหารย์อยู่มาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพราหมณ์ เมื่อเทียบกับกษัตริย์องค์ก่อนๆ ด้วยเหตุนี้เองพระราชประวัติของพระองค์จึงกล่าวถึงปาฏิหารย์มหัศจรรย์ตาม ลำดับ คือ  เมื่อพระนารายณ์ทรงมีพระชนม์ได้ ๕ พรรษา ขณะเล่นน้ำ พระองค์ทรงถูกอสนีบาต พวกพี่เลี้ยง นางนม สลบหมดสิ้น แต่พระองค์ไม่เป็นไรแม้แต่น้อย  เมื่อพระนารายณ์ทรงมีพระชนม์ได้ ๙ พรรษา พระองค์ทรงถูกอสนีบาตที่พระราชวังบางปะอิน แต่พระองค์ก็ปลอดภัยดี   สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับการศึกษาจากพระโหราธิบดี ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงในพระราชวัง และพระอาจารย์พรหม พระพิมลธรรม รวมทั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ระดับสูงในพระนคร
      พระราชานุสาวรีย์ องค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระนามเต็มตามหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา "สมเด็จพระบรมราชาธิราชธิบดีศรีสรรเพชญ บรมมหาจักรพรรดิศวรราชาธิราชราเมศวร ธรรมธราธิบดี ศรีสฤฎิรักษสังหารจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดีดินทร หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีวิบุลยคุณอกนิฐ จิตรรุจีตรีภูวนาทิตย์ ฤทธิพรหมเทพาดิเทพบดินทร์ ภูมินทราธิราช รัตนากาศมนุวงศ์องค์เอกาทศรสรุทร์ วิสุทธยโศดม บรมอาชวาธยาศรัย สมุทัยตโรมนต์ อนนตคุณวิบุลยสุนทรบวรธรรมมิกราชเดโชไชย ไตรโลกนาถบดินทร์ วรินทราธิราชชาติพิชิต ทิศพลญาณสมันตมหันตวิปผาราฤทธิวิไชย ไอศวรรยาธิบัติขัตติยวงศ์ องค์ปรมาธิบดีตรีภูวนาธิเบศร โลกเชษฐวิสุทธ มกุฎรัตนโมฬี ศรีปทุมสุริยวงศ์ องค์สรรเพชญ์พุทธางกูร บรมบพิตร"

 ครองราชย์สมบัติ
สมเด็จ พระนารายณ์มหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อเวลาสองนาฬิกา วันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๐๑๘ ปีวอก (ตรงกับวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๑๙๙) มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า 'สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๒๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา ขณะทรงมีพระชนมายุ ๒๕ พรรษาหลังจากประทับในกรุงศรีอยุธยาได้ ๑๐ ปี พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๐๙ และเสด็จไปประทับที่ลพบุรีทุกๆ ปี ครั้งละเป็นเวลานานหลายเดือน กระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๑ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รวมครองราชสมบัติเป็นเวลา ๓๒ ปี มีพระชนมายุ ๕๖ พรรษาภาพสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จออก โปรดเกล้าฯ ให้คณะราชทูตจากฝรั่งเศสเข้าเฝ้า[แก้] พระราชโอรส-ธิดา
สมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ทรงมีพระราชโอรส และธิดา ได้แก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพในพระกษัตรี ซึ่งหลังจากพระองค์ทรงสวรรคตแล้วพระราชธิดาและพระราชนัดดาของพระองค์(เจ้า ฟ้าตรัสน้อย)ได้ย้ายมาอยู่กับญาติทางฝ่ายราชมารดา (พระกษัตรี) ที่วัดพุทไธศวรรค์และต่อมาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที บ้านละมุในตำบลเสนาอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยราชวงศ์จักรีในช่วง รัชกาลที่๓ - ๕ ถึงในปัจจุบัน ฝ่ายยาทของในกรมหลวงโยธาเทพและพระกษัตรีคือพระยาคเชนทร์ (ทับ สุดลาภา)ในสมัยรัชกาลที่ ๓เป็นบิดาขุนพิทักษ์อำแดงเขตต์และขุนพิทักษ์อำแดงเขตต์(แสง สุดลาภา )ในสมัยรัชกาลที่๕ได้สร้างวัดอุทัยในตำบลเสนา อำเภออุทัยขึ้นและเป็นวัดประจำสกุลสุดลาภาถึงในสมัยปัจจุบันนี้
หลวงสรศักดิ์ หรือ พระเจ้าเสือ เป็นโอรสลับที่ประสูติในพระสนมกุสาวดี
นอกจากนี้ยังมีพระโอรสบุญธรรม คือ พระปีย์ หรือบางแห่งเรียก พระปิยะ

 พระราชกรณียกิจสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก โดยทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองพม่าอีกหลายเมืองได้แก่ เมืองจิตตะกอง สิเรียม ย่างกุ้ง แปร ตองอู หงสาวดี และมีกำลังสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์นั้นสามารถยึดหัวเมืองของพม่าได้ คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี

 การต่างประเทศ
ความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์รุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาในพระราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ชาวกรีกที่รับราชการตำแหน่งสูงถึงที่ สมหุนายกขณะเดียวกันยังโปรดเกล้าฯ ให้แต่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ผู้ที่เขียนเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา และสยามมากที่สุดในสมัยนี้ก็คือ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์  นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับเอาวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ เช่น กล้องดูดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ รวมทั้งยังมีการรับเทคโนโลยีการสร้างน้ำพุ จากชาวยุโรป และวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย

พระราชปณิธาน
พระ เจ้าหลุยส์ที่ 14 จะให้เราเข้ารีตดังนั้นหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะในราชวงศ์ของเราก็ได้นับถือพระพุทธศาสนามาช้านานแล้ว จะให้เราเปลี่ยนศาสนาอย่างนี้เป็นการยากอยู่ และถ้าพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสร้างดินจะต้องการให้คนทั่วโลกได้นับถือศาสนาอัน เดียวกันแล้ว พระเจ้ามิจัดการให้เป็นเช่นนั้นเสียแล้วหรือ"จริงอยู่เมื่อฟอลคอน ในเวลาหมอบอยู่ข้างพระบาทพระเจ้ากรุงสยามได้แปลคำชักชวนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้รับสั่งมากับราชทูตนั้น ฟอลคอนก็กลัวจนตัวสั่น และสมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรดให้อภัยแก่ฟอลคอน แต่ก็ได้รับสั่งว่า ได้ทรงนับถือศาสนาอันได้นับถือต่อๆ กันมาถึง 2,229 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นที่จะให้พระองค์เปลี่ยนศาสนาเสียนั้น เป็นการที่พระองค์จะทำไม่ได้
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช วรรณกรรมเข้า ไปดูบทความเฉพาะของเรื่องนี้ วรรณกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ชาวสยามวาดโดยทูตชาวฝรั่งเศส ลาลูแบร์วรรณกรรมที่ปรากฏหลักฐานว่าแต่งขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ ส่วนตอนต้นเชื่อกันว่าพระมหาราชครูเป็นผู้แต่งแต่ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน สมเด็จพระนารายณ์จึงพระราชนิพนธ์ต่อ โดยเริ่มที่ตอน พิศพระกุฎีอาศรมสถานตระกาลกล ไปจนถึง ตนกูตายก็จะตายผู้เดียวใครจะแลดู โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็น คำฉันท์กล่อมช้าง (ของเก่า) เป็นผลงานของขุนเทพกวี สันนิษฐานว่าแต่งในคราวสมโภชขึ้นระวางเจ้าพระยาบรมคเชนทรฉัททันต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๓ เป็นต้น
ทั้งยังส่งเสริมงานงานกวี ทำให้มีหนังสื่อเรื่องสำคัญๆ ในรัชสมัยนี้เป็นจำนวนไม่น้อย เช่น โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ของหลวงศรีมโหสถ หนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดี (จัดเป็นตำราเรียนเล่มแรกของประเทศไทย) และอนิรุทธคำฉันท์ เป็นต้น

งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
งาน แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จัดขึ้นครั้งแรกระหว่างวันที่ 17 - 18 กุมภาพันธ์ 2542 ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ เกิดขึ้นจากแนวคิดของชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ลพบุรี กับนาย เชาวน์วัศ สุดลาภา ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีในขณะนั้นเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ทรงสร้างเมืองลพบุรีให้เจริญรุ่งเรือง อีกประการหนึ่งคือต้องการพัฒนาจังหวัดลพบุรีให้เป็นเมืองท่องเที่ยว การจัดงานครั้งแรก ตั้งชื่องานว่า "นารายณ์รำลึก" ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ"งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์" จัดงานครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๗-๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ งานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของลพบุรีถูกถ่ายทอดการจัดงานโดยมีการตั้งคณะกรรมการก ว่า ๒๐ คณะ รูปแบบของงานมีทั้งภาคกลางวันและกลางคืนมีการจำลองเหตุการณ์
ใน ครั้งประวัติศาสตร์ มีขบวนแห่ของชาติต่างๆที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีและเข้ามาพึ่งพระบรม โพธิสมภาร มีการแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนและคำประพันธ์ต่างๆ มีร้านจำหน่ายและสาธิตสินค้า ตลอดจนขนมหวานในสมัยนั้น มีการจุดประทีปโคมไฟให้เหมือนราตรีแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในอดีตมี การประกวดการแต่งกายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รวมทั้ง ส่งเสริมให้ชาวลพบุรีแต่งกายไทยทั้งเมืองซึ่งมีผู้ให้ความสนใจและร่วมงาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมากมาย

ประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช



 


สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ข้อมูลส่วนพระองค์ พระปรมาภิไธย  สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ วันพระราชสมภพ พ.ศ. ๒๐๙๘ วันสวรรคต     ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ พระอิสริยยศ    พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชบิดา    สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช พระราชมารดา  พระวิสุทธิกษัตรีย์

การครองราชย์ ราชวงศ์      ราชวงศ์สุโขทัย ทรงราชย์     ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ ระยะเวลาครองราชย์ ๑๕ ปี รัชกาลก่อนหน้า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
รัชกาลถัดมา   สมเด็จพระเอกาทศรถ
พระบาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ (พระนเรศวรมหาราช) 
       มีพระนามเดิมว่าพระองค์ดำพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระ
ศรี สุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๘ ที่เมืองพิษณุโลกทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระสุพรรณกัลยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จ พระเอกาทศรถ(องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช พระนเรสส องค์ดำ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เพี้ยนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช เสด็จขึ้นครองราชเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๕ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ รวมพระชนมพรรษา ๕๐ พรรษาราชการสงครามในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของชาติไทย พระองค์ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรงแผ่อำนาจ
ของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล นับตั้งแต่ประเทศพม่าตอนใต้ทั้งหมด นั่นคือ จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิคทางด้านตะวันออก ทาง
ด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลม มลายู ทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝั่งแม่น้ำโขงโดยตลอด และยังรวมไปถึงรัฐไทยใหญ่บางรัฐพระองค์ได้ทำสงครามเข้าไปในประเทศที่เป็นข้า ศึกของไทย ในทุกทิศทาง จนประเทศไทยอยู่เป็นปกติสุขปราศจากศึกสงคราม เป็นระยะเวลายาวนาน พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งสิ้น
ทั้งปวงของพระองค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและคนไทยทั้งมวล ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะอยู่ในสนามรบและชนบทโดยตลอด มิได้ว่างเว้น แม้แต่เมื่อเสด็จสวรรคต ก็
เสด็จ สวรรคตในระหว่างเดินทัพไปปราบศัตรูของชาติไทย นับว่าพระองค์ได้ทรงสละพระองค์ เพื่อชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง สมควรที่ชาวไทยรุ่นหลังต่อมา ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองค์ และจดจำวีรกรรมของพระองค์ เทอดทูลไว้เหนือเกล้า ฯ ไปตราบชั่วกาลนาน

พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี
 ตลอด ระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
เจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุง ศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองได้ทรงขอพระนเรศวรไปเป็น
องค์ประกันที่หงสาวดี ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง ๙พรรษานอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกันจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นจำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษา อย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา ๘ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา
ทั้งภายในราชสำนัก ไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำ
หลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนำมาใช้ก่อนจอมทัพที่เลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การ
ดำรงความ มุ่งหมาย หลักการรุก การออมกำลัง และการรวมกำลัง การดำเนินกลยุทธ ความเด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนำมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ
และประสบผลสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอด เนื่องจากการที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทำให้ทรงมีความกดดันสูง จากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึง
ทรงมีแรงผลักดันที่จะ กอบกู้อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการเหยียดหยามว่าเป็นเชลย จากพวกพม่าด้วย

ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช
  หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหง สาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระนเรศได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเนื่องมาจากพระสุพรรณ กัลยาได้ขอไว้ โดยที่บุเรงนองยินยอม หลังจากที่พระองค์ดำกลับมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า พระนเรศวร และโปรดเกล้าฯให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดี
และทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา

การประกาศอิสรภาพ

  เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพ
รักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครง
มาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวร
เสียให้ จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อนกองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้ง
พระยาเกียรติกับ พระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า
การเป็นอริ ราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อ
พระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป
จากนั้นพระองค์ ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ
เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครง ไปยังเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน6ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่า
จะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลังฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตามกองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตาม
มาทัน ที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาว
เก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดีพระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ ได้นามปรากฏต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็นพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงเมืองแครง ทรงดำริว่าพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามได้มีอุปการะมาก สมควรได้รับการตอบแทนให้สมแก่ความชอบ จึงทรงชักชวน
ให้มาอยู่ในกรุง ศรีอยุธยา พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยามอญ ที้งสองก็มีความยินดี พาพรรคพวกสเด็จเข้ามาด้วยเป็นอันมาก ในการยกกำลังกลับครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเกรงว่า
ข้าศึกอาจยกทัพตามมาอีก ถ้าเสด็จกลับทางด่านแม่ละเมา มีกองทัพของนันทสูราชสังครำตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง พระองค์จึงรีบสั่งให้พระยาเกียรติ พระยา
ราม นำทัพเดินผ่านหัวเมืองมอญลงมาทางใต้ มาเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พวกมอญที่สวามิภักดิ์ ทรงตั้งพระมาหาเถรคันฉ่องเป็นพระสังฆราชา ที่สมเด็จอริยวงศ์ และให้พระยาเกียรติ พระยารามมีตำแหน่งยศ ได้พระราชทานพานทอง ควบคุมมอญที่เข้ามาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสนใกล้วังจันทร์ของสมเด็จพระนเรศวร แล้วทรงมอบ
การทั้งปวงที่จะตระเตรียมต่อสู้ข้าศึก ให้สมเด็จพระนเรศวรทรงบังคับบัญชาสิทธิขาดแต่นั้นมา

ยุทธหัตถี
  นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา
เสด็จ สวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบ กู้กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไป
อย่างกว้าง ใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริ
เริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการ ทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบการสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่ กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุป
ราชามังสามเกียดยก ทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรก็นำทัพออกไปจนปะทะกันที่หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าจังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรได้ทรง
กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระแสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างนั่นเอง

สวรรคต

  พ.ศ. ๒๑๓๗ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงก็ให้พระเจ้าแปรมาตีกรุงศรีอยุธยาแต่ก็แตกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๔๒ เสด็จฯออกไปตีกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีหนีไปเมืองตองอู กอง
ทัพ อยุธยาตามไปถึงเมืองตองอูแต่ขาดเสบียง พ.ศ. ๒๑๔๗ ยกกองทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นายออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตีกรุงอังวะ ผ่านทางเมืองเชียงใหม่ โดยแรมทัพอยู่ที่เมือง
เชียงใหม่เป็นเวลา ๑ เดือน ระดมทหารในดินแดนล้านนาสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ นาย และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นทัพหน้าออกเดินทางไปรับไพร่พลทหาร ล้านนาที่
เมืองฝาง (อำเภอฝาง เชียงใหม่) หลังจากนั้นกองทัพหลวงจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองเชียงใหม่ไปยัง เมืองนายและกรุงอังวะ ครั้นกองทัพหลวงเดินทัพอยู่ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำ
สาละวิน ครั้นถึง เมืองหลวง หรือเมืองห้างหลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่และเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขตในสมัย นั้น เมื่อปลายเดือน
๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ ได้เสด็จฯ ประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งดอนแก้ว (ขณะที่กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ที่เมืองฝางหรืออำเภอฝาง เชียงใหม่) เกิดประชวรเป็นหัวระลอกขึ้น
(บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์แล้วเลยเป็นบาดพิษจนเสด็จสวรรคต ณ เมืองห้างหลวง หรือ เมืองหางวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๑๔๘ เรื่องวัน
สวรรคตนี้มี รายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลาชายแล้ว ๒ บาท ปีมะเส็ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางประวัติ
ศาสตร์คำนวณแล้วตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ ในหนังสือ A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าวว่าสวรรคตวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ.
๑๖๐๕ (พ.ศ. ๒๑๔๘) พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี

ประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

   พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระราชโอรส     ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริย์ แห่งกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีพระมเหสีคือ พระนางเสือง มีพระราชโอรสสามพระองค์ พระราชธิดาสองพระองค์ พระราชโอรส องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ องค์กลางมี พระนามว่า บานเมือง และพระราชโอรสองค์ที่สาม คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อพระชันษาได้ ๑๙ ปี  ได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด       พ่อขุนศรี อินทราทิตย์ จึงพระราชทานนามว่า "พระรามคำแหงเมื่อ สิ้นรัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์   และพ่อขุนบานเมืองแล้ว   พระองค์ได้ครองกรุงสุโขทัย ต่อมาเป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงสันนิษฐานว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์ในราวปี พ..๑๘๖๐ รวมเวลาที่ทรงครองราชย์ประมาณ ๔๐ ปี
 

ผลงาน    พ่อ ขุนรามคำแหงมหาราช ทรงรวมเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอัจฉริยภาพทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนาและศิลปวิทยาต่างๆ ที่สำคัญยิ่งคือพระองค์ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อประมาณ      พ..๑๘๒๖   ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอักษรไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
 

พระเจ้ารามคำแหงมหาราช
         เมื่อ แรกตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น  อาณาเขตยังไม่กว้างขวางเท่าใดนัก  เขตแดนทางทิศใต้จดเพียงเมืองปากน้ำโพ ใต้จากปากน้ำโพลงมายังคงเป็นอาณาเขตของขอมอันได้แก่เมืองละโว้  ทางฝ่ายตะวันตกจดเพียงเขาบันทัด ทางเหนือมีเขตแดนติดต่อกับประเทศลานนาที่ภูเขาเขื่อน     ส่วนทางตะวันออกก็จดอยู่เพียงเขาบันทัดที่กั้นแม่น้ำสักกับแม่น้ำน่าน        อย่าง ไรก็ตาม ในระหว่างที่ทรงครองราชย์อยู่นั้น  พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ก็ได้กระทำสงครามเพื่อขยายเขตแดนของไทยออกไปอีกในทาง โอกาสที่เหมาะสม ดังที่มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกว่า พระองค์ได้เสด็จยกกองทัพไปดีเมืองฉอด  ได้ทำการรบพุ่งตลุมบอนกันเป็นสามารถถึงขนาดที่พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ ได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับขุนสามชนเข้าเมืองฉอด แต่พระองค์เสียทีแก่ขุนสามชน แลในครั้งนี้เองที่เจ้ารามราชโอรสองค์เล็กของพระองค์ได้เริ่มมีบทบาทสำคัญ ด้วยการที่ทรงถลันเข้าช่วยโดยไสช้างทรงเข้าแก้พระราชบิดาไว้ทันท่วงที แล้วยังได้รบพุ่งตีทัพขุนสามชนเข้าเมืองฉอดแตกพ่ายกระจายไป
        พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดาจึงถวายพระนามโอรสองค์เล็กนี้ว่า     เจ้ารามคำแหง  พระเจ้าศรีอินทราทิตย์  ทรงครองอาณาจักรสุโขทัยอยู่จนถึงประมาณปี  1881  จึงเสด็จสวรรคต  พระองค์มีพระโอรสพระองค์ด้วยกัน โอรสองค์ใหญ่พระนามไม่ปรากฎเพราะได้สิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่เยาว์วัย  องค์กลางทรงพระนามว่า ขุนบาลเมือง  องค์เล็กทรงพระนามว่า เจ้าราม และต่อมาได้รับพระราชทานใหม่ว่า เจ้ารามคำแหง หลังจากตีทัพขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดแตกพ่ายไป
         เมื่อพระเจ้าศรีอินทราทิตย์เสด็จสวรรคตแล้วโอรสองค์กลางขุนบาลเมือง ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมาอีกประมาณ  9  ปี    ก็เสด็จสวรรคต  พระราชอนุชา คือ     เจ้ารามคำแหง      จึงได้เสวยราชย์สืบต่อมา ทรงพระนามว่า พระเจ้ารามคำแหง
        พระเจ้ารามคำแหง   จะมีพระนามเดิมว่าอย่างไรไม่ปรากฏชัดแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ ได้ทรงสันนิษฐานว่า คงจะเรียกกันว่า เจ้าราม แล เมื่อเจ้ารามมีพระชนมายุได้ 19 ชรรษา ได้ตามสมเด็จพระราชบิดาไปทำศึกกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดและได้ทรงแสดงความ เก่งกล้าในทาสไสช้างทรงเข้าแก้เอาพระราชบิดาไว้ได้ทั้งตีทัพขุนสามชนแตกพ่าย ไปแล้วพระราชบิดาจึงถวายพระนามเสียใหม่ว่า    “เจ้ารามคำแหง
         พระเจ้ารามคำแหง ทรงเป็นมหาราชองค์ที่สองของชาวไทย และทรงเป็นมหาราชพระองค์เดียวในสมัยสุโขทัย พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์ทรงชำนาญทั้งในด้านการรบ การปกครอง และการศาสนา  พระองค์ทรงขยายอาณาจักรสุโขทัยออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลด้วยวิเทโศบายอันแยบยล สุขุมคัมภีรภาพทั้งทรงปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยความยุติธรรมได้รับความ ร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า   ซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์เป็นอันดับไปดังต่อไปนี้
 

การขยายอาณาจักร


         เมื่อพระเจ้ารามคำแหง เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนบาลเมืองนั้น อาณาจักรสุโขทัยนับว่าตกอยู่ในระหว่างอันตรายรอบด้าน และยากทำการขยายอาณาจักรออกไปได้ เพราะทางเหนือก็ติดต่อกับแคว้นลานนา     อันเป็นเชื้อสายไทยด้วยกันมีพระยาเม็งรายเป็นเจ้าเมืองเงินยางและพระยางำ เมือง       เป็นเจ้าเมืองพะเยาและทั้งพระยาเม็งรายและพระยางำเมือง ขณะนั้นต่างก็มีกำลังอำนาจแข็งแกร่งทั้งคู่ ทางตะวันออกนั้นเล่าก็ติดต่อกับดินแดนของขอม ซึ่งมีชาวไทยเข้าไปตั้งภูมิลำเนาอยู่มาก  ตะวันตกของอาณาจักรสุโขทัยก็จดเขตแดนมอญและพม่า ส่วนทางใต้ก็ถูกเมืองละโว้ของขอมกระหนาบอยู่
         ด้วยเหตุนี้พระเจ้ารามคำแหงจึงต้องดำเนินวิเทโศบายในการแผ่อาณาจักรอย่างแยบ ยล และสุขุมที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง คือแทนที่จะขยายอาณาเขตไปทางเหนือ หรือตะวันออกซึ่งมีคนตั้งหลักแหล่งอยู่มาก พระองค์กลับทรงตัดสินพระทัยขยายอาณาเขตลงไปทางใต้อันเป็นดินแดนของขอม      และทางทิศตะวันตกอันเป็นดินแดนของมอญ         เพื่อให้คนไทยในแคว้นลานนาได้ประจักษ์ในบุญญาธิการ  และได้เห็นความแข็งแกร่งของกองทัพไทยแห่งอาณาจักรสุโขทัยเสียก่อน แล้วไทยในแคว้นลานนาก็อาจจะมารวมเข้าด้วยต่อภายหลังได้โดยไม่ยาก
         แต่แม้จะได้ตกลงพระทัย  ดังนั้น    พระเจ้ารามคำแหงก็ยังคงทรงวิตกอยู่ในข้อที่ว่าถ้าแม้ว่าพระองค์กรีฑาทัพขยาย อาณาเขตลงไปสู้รบกับพวกขอมทางใต้แล้วพระองค์อาจจะถูกศัตรูรุกรานลงมาจากทาง เหนือก็ได้ บังเอิญในปี พ.ศ. 1829  กษัตริย์ในราชวงศ์หงวนได้ส่งฑูตเข้ามาขอทำไมตรีกับไทย พระองค์จึงยอมรับเป็นไมตรีกับจีน เพื่อป้องกันมิให้กองทัพจีนยกมารุกรานเมื่อพระองค์ยกทัพไปรบเขมร พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงพยายามสร้างความสนิทสนมกับไทยลานนาเช่นได้เสด็จด้วย พระองค์เองไปช่วยพระยาเม็งราย สร้างราชธานีที่นครเชียงใหม่เป็นต้น แหละเมื่อเห็นว่าสัมพันธไมตรีทางเหนือมั่นคงแล้ว พระองค์จึงได้เริ่มขยายอาณาจักรสุโขทัยลงไปทางใต้ตามลำดับ คือ ใน พ.ศ. 1823   ทรงตีได้เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองต่างๆ ในแหลมลายูตลอดรวมไปถึงเมืองยะโฮร์ และเกาะสิงคโปร์ในปัจจุบันนี้
        ใน พ.ศ. 1842  ตีได้ประเทศเขมร (กัมพูชา)
          ส่วนทางทิศตะวันตกที่มีอาณาเขตจดเมืองมอญนั้นเล่าพระเจ้ารามคำแหงก็ได้ ดำเนินการอย่างสุขุมรอบคอบเช่นเมื่อได้เกิดความขึ้นว่า มะกะโท อำมาตย์เชื้อสายมอญ ซึ่งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและได้มารับราชการใกล้ชิดพระองค์ได้กระทำความผิด ชั้นอุกฤติโทษ โดยลักพาเอาพระธิดาของพระองค์หนีกลับไปเมืองมอญ แทนที่พระองค์จะยกทัพตามไปชิงเอาตัวพระราชธิดาคืนมา พระองค์กลับทรงเฉยเสียด้วยได้ทรงคาดการณ์ไกล ทรงมั่นพระทัยว่า มะกะโท ผู้นี้คงจะคิดไปหาโอกาสตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองมอญ ซึ่งถ้าเมื่อมะกะโทได้เป็นใหญ่ในเมืองมอญก็เปรียบเสมือนพระองค์ได้มอญมาไว้ ในอุ้มพระหัตถ์ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันให้เสียเลือดเนื้อ ซึ่งต่อมาการณ์ก็ได้เป็นไปตามที่ได้ทรงคาดหมายไว้ คือมะกะโท ได้เป็นใหญ่ครอบครองอาณาจักรมอญทั้งหมด แลได้เข้าสามิภักดิ์ต่ออาณาจักรสุโขทัย  โดยพระเจ้ารามคำแหงมิต้องทำการรบพุ่งประการใดพระองค์ได้เสด็จไปทำพิธีราช ภิเษกให้มะกะโท และพระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว
         ด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาด   สุขุมคัมภีรภาพของพระองค์นี้เอง    จึงเป็นผลให้อาณาจักรไทยในสมัยพระเจ้ารามคำแหงแผ่ขยายออกไปอย่างกว้าง ขวาง    ปรากฎตามหลักศิลาจารึกว่าทางทิศใต้จดแหลมมลายูทิศตะวันตกได้หัวเมืองมอญทั้ง หมด ได้จดเขตแดนหงสาวดี จดอ่าวเบงคอล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ประเทศเขมร มีเขตตั้งแต่สันขวานโบราณไปจดทะเลจีน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้เมืองน่าน  เมืองหลวงพระบางทั้งเวียงคำฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง  ทิศเหนือมีอาณาเขตจดเมืองลำปาง  กล่าวได้ว่าเป็นครั้งตั้งแต่ตั้งอาณาจักรไทยที่ได้แผ่นขยายอาณาเขตไปได้ กว้างขวางถึงเพียงนั้น

การทำนุบำรุงบ้านเมือง


          เมื่อได้ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยออกไปอย่างกว้างขวางดังกล่าวแล้ว พระเจ้ารามคำแหง ยังได้ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองอีกเป็นอันมาก  เช่นได้ทรงสนับสนุนในทางการค้าพานิช  เลิกด่านเก็บภาษีอากรและจังกอบ  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนไปมาค้าขายกันได้โดยสะดวกได้ยิ่งขึ้น  ได้ส่งเสริมการทำอุตสาหกรรมทำเครื่องถ้วยชาม  ถึงกับได้เสด็จไปดูการทำถ้วยชามในประเทศจีนถึงสองครั้ง แล้วนำเอาช่างปั่นถ้วยชามชาวจีนเข้ามาด้วยเป็นอันมาก เพื่อจะได้ให้ฝึกสอนคนไทยให้รู้จักวิธีทำถ้วยชามเครื่องเคลือบดินเผาต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าได้เจริญรุ่งเรืองมากในระยะนั้น
         ในด้านทางศาลก็ให้ความยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎรโดยทั่วถึงกันไม่เลือกหน้า ทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ถึงกับสั่งให้เจ้าพนักงานแขวน กระดิ่งขนาดใหญ่ไว้ที่ประตูพระราชวังด้านหน้าแม้ใครมีทุกข์ร้อนประการใดจะขอ ให้ทรงระงับดับเข็ญแล้วก็ให้ลั่นกระดิ่งร้องทุกข์ได้ทุกเวลา ในขณะพิจารณาสอบสวนและตัดสินคดี  พระองค์ก็เสด็จออกฟังและตัดสินด้วยพระองค์เองไปตามความยุติธรรม  แสดงความเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเสมือนบิดากับบุตรทรงชักนำให้ศาสนาประกอบ การบุญกุศล  ศรัทธาในพระพุทธศาสนา  พระองค์เองทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกได้ทรงสร้างแท่นมนังศศิลาไว้ที่ดงตาล สำหรับให้พระสงฆ์แสดงธรรมและบางครั้งก็ใช้เป็นที่ประทับว่าราชการแผ่นดิน

การปกครอง


ลักษณะ การปกครองในสมัยของพระเจ้ารามคำแหงหรือราษฎรมักเรียกกันติดปากว่าพ่อขุนราม คำแหงนั้น     พระองค์ได้ทรงถือเสมือนหนึ่งว่าพระองค์เป็นบิดาของราษฎรทั้งหลาย  ทรงให้คำแนะนำสั่งสอน  ใกล้ชิดเช่นเดียวกับบิดาจะพึงมีต่อบุตร โปรดการสมาคมกับไพร่บ้านพลเมืองไม่เลือกชั้นวรรณะ  ถ้าแม้ว่าใครจะถวายทูลร้องทุกข์ประการใดแล้ว ก็อนุญาตให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดได้ไม่เลือกหน้าในทุกวันพระมักเสด็จ ออกประทับยังพระแท่นศิลาอาสน์ ทำการสั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม
      ในด้านการปกครองเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงของประเทศนั้นพระองค์ทรงถือว่าชาย ฉกรรจ์ที่มีอาการครบ 32  ทุกคนเป็นทหารของประเทศ  พระเจ้าแผ่นดินทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพ ข้าราชการก็มีตำแหน่งลดหลั่นเป็นนายพล  นายร้อย  นายสิบ  ถัดลงมาตามลำดับ
           ในด้านการปกครองภายใน จัดเป็นส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน   ชั้นนอกและเมืองประเทศราชสำหรับหัวเมืองชั้นใน มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองโดยตรง มีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี   เมืองศรีสัชนาลัย    (สวรรคโลก)    เป็นเมืองอุปราช    มีเมืองทุ่งยั้งบางยม   สองแคว  (พิษณุโลก)  เมืองสระหลวง (พิจิตร)  เมืองพระบาง  (นครสวรรค์)  และเมืองตากเป็นเมืองรายรอบ
            สำหรับหัวเมืองชั้นนอกนั้น  เรียกว่าเมืองพระยามหานคร  ให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองมีเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้าง  เวลามีศึกสงครามก็ให้เกณฑ์พลในหัวเมืองขึ้นของตนไปช่วยทำการรบป้องกันเมือง หัวเมืองชั้นนอกในสมัยนั้น ได้แก่  เมืองสรรคบุรี  อู่ทอง  ราชบุรี  เพชรบุรี  ตะนาวศรี  เพชรบูรณ์  แลเมืองศรีเทพ
           ส่วนเมืองประเทศราชนั้น  เป็นเมืองที่อยู่ชายพระราชอาณาเขตมักมีคนต่างด้าวชาวเมืองเดิมปะปนอยู่มาก จึงได้ตั้งให้เจ้านายของเขานั้นจัดการปกครองกันเอง  แต่ต้องถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกปี แลเมื่อเกิดศึกสงครามจะต้องถล่มทหารมาช่วย เมืองประเทศราชเหล่านี้   ได้แก่  เมืองนครศรีธรรมราช  มะละกา  ยะโฮร์  ทะวาย  เมาะตะมะ  หงสาวดี  น่าน  หลวงพระบาง  เวียงจันทร์  และเวียงคำ

การวรรณคดี


         นอกจากจะได้ทรงขยายอาณาเขตของไทย ทางปกครองทำนุบำรุงบ้านเมือง และจัดระบบการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว  พระเจ้ารามคำแหงยังได้ทรงสร้างสิ่งที่คนไทยจะลืมเสียมิได้อีกอย่างหนึ่ง สิ่งนั้น ได้แก่ การประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นอันเป็นรากฐานของหนังสือไทยที่เราได้ใช้กันอยู่ใน ทุกวันนี้
         ตามหลักฐานปรากฎว่าพระองค์ได้ทรงคิดอักษรไทยขึ้นใช้เมื่อปี พ.ศ. 1826  กล่าวกันว่าได้ดัดแปลงมาจากอักษรคฤนถ์อันเป็นอักษรที่ใช้กันอยู่ในอินเดีย ฝ่ายใต้
         ตัวอักษรไทยซึ่งพระเจ้ารามคำแหงคิดขึ้นใช้ในสมัยนั้นตัวพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์จึงอยู่เรียงในบรรทัดเดียวกันหมด ดังจะดูได้จากแผ่นศิลาจารึกในสมัยพระเจ้ารามคำแหง  ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ  ต่อมาจึงได้มีผู้ค่อยคิดดัดแปลงให้วัฒนาในทางดี และสะดวกในการเขียนมากขึ้น เป็นลำดับ จนกระทั่งถึงอักษรไทยที่เราได้ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ 

การศาสนา

        ในสมัยพระเจ้ารามคำแหงนั้น  ปรากฎว่าศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธา อย่างมาก เช่นเมื่อมีคนไทยเดินทางไปยังเกาะลังกา เพื่อบวชเรียนตามลัทธิลังกาวงศ์ คือถือคติอย่างหินยาน มีพระไตรปิฎกเป็นภาษามคธ แล้วเข้ามาตั้งเผยแพร่พระพุทธศาสนาอยู่ที่เมืองนครธรรมราชนั้น  พระเจ้ารามคำแหงยังได้เสร็จไปพบด้วยพระองค์เองแล้วนิมนต์พระภิกษุนั้นขึ้นมา ตั้งให้เป็นสังฆราชกรุงสุโขทัย และได้บวชในคนไทยที่เลื่อมใสศรัทธาต่อมาตามลำดับ ต่อมาพระเจ้ารามคำแหงได้ทำไมตรีกับลังกาและได้พระพุทธสิหิงค์มา จากลังกา      แลนับแต่นั้นมาคนไทยจึงได้นับถือลัทธิลังกาวงศ์สืบมา

        ในสมัยพระเจ้ารามคำแหง ได้มีการจัดทำศิลาจารึกขึ้นเป็นครั้งแรกแลนับว่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทาง ประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก  เพราะถ้าพระองค์มิได้ทรงคิดอักษรไทยและทำศิลาจารึกไว้แล้ว คนไทยรุ่นต่อมาก็จะค้นคว้าหาหลักฐานในทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ได้ยาก ยิ่ง

หลักศิลาจารึก  พ่อขุนรามคำแหง


         เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้ทราบถึงความเป็นมาในการค้นพบหลักศิลาจารึกในสมัยพระเจ้ารามคำแหงมหาราช  ข้าพเจ้าจึงขอคัดข้อความจากประชุมจารึกสยาม ภาคที่ 1  จารึกสุโขทัยซึ่งศาสตราจารย์ ยอช  เซเดส์ เป็นผู้ชำระและแปลมาเสนอไว้ดังต่อไปนี้
        เมื่อปีมะเส็ง  เบญจศก ศักราช 1995 (พ.ศ.2376) เสด็จไปประพาสเมืองเหนือนมัสการเจดีย์  สถานต่างๆ ไปโดยลำดับประทับเมืองสุโขทัย เสด็จไปเที่ยวประพาสพบแผ่นศิลา(พระแท่นมนังคศิลา)  แผ่นหนึ่ง เขาก่อไว้ริมเนินปราสาทเก่าหักพังอยู่เป็นที่นับถือกลังเกรงของหมู่มหาชน ถ้าบุคคลไม่เคารพเดินกรายเข้าไปใกล้ให้เกิดการจับไข้ไม่สบาย ทอดพระเนตรเห็นแล้วเสด็จตรงเข้าไปประทับแผ่น ณ ศิลานั้น ก็มิได้มีอันตราสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยอำนาจพระบารมี เมื่อเสด็จกลับวันสั่งให้ทำการชะลอลงมาก่อเป็นแท่นไว้ที่วัดราชาธิวาส  ครั้งภายหลังเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว (รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ดำรัสสั่งให้นำไปไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสนาราม อนึ่งทรงได้เสาศิลาจารึกอักษรเขมรเสาหนึ่ง จารึกอักษรไทยโบราณเสาหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น
         ที่นี่พบศิลาจารึกหลักนี้ไม่ปรากฎแน่ชัด แต่คิดว่าจารึกนี้คงจะใกล้ๆ กับพระแท่นมนังคศิลา เพราในจารึกหลักนี้ด้านที่สามมีกล่าวถึงพระแท่นมนังคศิลา ซึ่งทำให้คิดว่า ศิลาจารึกหลักนี้จะได้ในเวลาฉลองพระแท่นนั้น เพราะฉะนั้นศิลาจารึกหลักนี้คงจะอยู่ใกล้ๆ กับพระแท่นนั้น คือ บนเนินปราสาทนั้นเอง พระแท่นนั้น เมื่อชะลอลงมากรุงเทพฯ แล้ว เดิมเอาไว้ที่วัดราชาธิวาส ก่อทำเป็นแท่นที่ประทับไว้ตรงใต้ต้นมะขามใหญ่ ข้างหน้าพระอุโบสถ
         ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2394  ได้โปรดให้เอามาก่อแทนประดิษฐานไว้ที่หน้าวิหารพระคันธาราฐในวัดพระศรีรัตน ศาสดาราม อยู่มาจนถึงในรัชกาลปัจจุบันนี้ เมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเศกสมโภชใน พ.ศ. 2545  จึงโปรดให้ย้ายไปทำเป็นแท่นเศวตฉัตรราชบัลลังก์  ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทปรากฎอยู่ในทุกวันนี้
         ส่วนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนั้น  ครั้นพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ  โปรดให้ส่งหลักศิลานั้นมาด้วย
        ภายหลังเมื่อได้เสวยราชย์ พระเจ้าเกล้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ย้ายจากวัดบวรนิเวศ เอาเข้าไปตั้งไว้ศาลารายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามข้างด้านเหนือ พระอุโบสถหลังที่สองนับแต่ทางตะวันตก อยู่ ณ ที่นี้ต่อมาช้านานจนปลายเดือนมีนาคม  พ.ศ. 2466  จึงได้ย้ายเอามารวมไว้ที่หอพระสมุด
         เรื่องหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ที่นักปราชญ์ชาวยุโรปแต่งไว้ในหนังสือต่างๆ นั้น มีอยู่ในบัญชีท้ายคำนำภาษาฝรั่งแล้ว  ส่วนนักปราชญ์ไทยแต่ขึ้นนั้นได้เคยพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณเล่มที่ 6 หน้า  3574  ถึง  2577  ในหนังสือเรื่องเมืองสุโขทัย  ในหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง และในประชุมพงศาวดารภาคที่หนึ่ง
         เรื่องที่มีในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ แบ่งออกได้เป็นสามตอน  ตอนที่ 1 ตั้งแต่บรรทัดที่ 1  ถึง 18  เป็นเรื่องพ่อขุนรามคำแหงเล่าประวัติของพระองค์ตั้งแต่ประสูติจนได้เสวยราช สมบัติ ใช้คำว่า กู  เป็นพื้น
        ตอนที่  2  ไม่ใช่คำว่า กู เลย ใช้ว่า พ่อขุนรามคำแหง เล่า เรื่องประพฤติเหตุต่างๆ  และธรรมเนียมในเมืองสุโขทัย  เรื่องสร้างพระแท่นมนังคศิลา  เมื่อ  1214  เมื่อสร้างพระมหาธาตุ  เมืองศรีสัชนาไลย  เมื่อ  ม.ศ. 1207  และที่สุดเรื่องประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ.1205  ตอนที่  3  ตั้งแต่ด้านที่  4  บรรทัดสุดท้าย  เข้าใจว่าจารึกภายหลังปลายปี เพราะตัวอักษรไม่เหมือนกับตอนที่ 1 และที่ 2 คือ ตัวพยัญชนะสั้นกว่าที่สระที่ใช้ก็ต่างกันบ้าง ตอนนี้  (ที่ 3 )  เป็นคำสรรเสริญและขอพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตเมืองสุโขทัยที่แผ่ออกไปในครั้งกระโน้น
         ผู้แต่ศิลาจารึกนี้  เพื่อจะเป็นพ่อขุนรามคำแหงทรงเล่าเอง มิฉะนั้นก็คงตรัสสั่งให้แต่งและจารึกไว้ มูลเหตุที่จารึกไว้คือเมื่อ ม.ศ. 1214  (พ.ศ.1835) ได้สะกัดกระดานหินพระแท่นมนังคศิลา ประโยชน์ของพระแท่นมนังคศิลาก็คือ  ในวันพระอุโบสถพระสงฆ์ได้ใช้นั่งสวดพระปาติโมกข์และแสดงธรรมถ้าไม่ใช้วัด อุโบสถพ่อขุนรามคำแหงก็ได้ประทับนั่งพระราชทานราโชวาทแก่ข้าราชบริพาร และประชาราษฎรทั้งปวงที่มาเฝ้า  และเมื่อปี ม.ศ.1214 (พ.ศ.1835) นับเป็นปีที่สำคัญมากในรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหง เพราะเป็นปีแรกที่ได้แต่งตั้งราชฑูตไปเมืองจีน
         ศิลาจารึกกรุงสุโขทัยที่มีอยู่ในหอสมุดนี้ เริ่มรวบรวมแต่ในรัชกาลที่ 3 มีจดหมายเหตุปรากฎว่า เมื่อ พ.ศ. 2176  พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงผนวชมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2  ประทับอยู่  ณ  วัดราชาธิราชเสด็จขึ้นไปธุดงค์ทางมณฑลฝ่ายเหนือถึงเมือพิษณุโลก สวรรคโลก  และเมืองสุโขทัย  เมื่อเสด็จไปถึงเมืองสุโขทัยครั้งนั้นทอดพระเนตรเห็นศิลาจารึก 2 หลักคือ  ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ 1 ) และศิลาจารึกภาษาเขมรของพระมหาธรรมราชาลิไทย (หลักที่ 4)  กับแท่นมนังศิลาอยู่ที่เนินปราสาท  ณ  พระราชวังกรุงสุโขทัยเก่า ราษฎร เช่นสรวงบูชานับถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสถามว่าของทั้งสามสิ่งนั้นเดิมอยู่ ที่ไหน  ใครเป็นผู้เอามารวบรวมไว้ตรงนั้น ก็หาได้ความไม่ ชาวสุโขทัยทราบทูลว่าแต่ว่าเห็นรวบรวมอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาดูเห็นว่าเป็นของสำคัญจะทิ้งไว้เป็น อันตรายเสีย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งมากรุงเทพฯเดิมเอาไว้ที่วัดราชาธิวาส ทั้งสามสิ่ง พระแท่นมนังคศิลานั้นก่อทำเป็นแท่นที่ประทับไว้ตรงใต้ต้นมะขามใหญ่  ข้างหน้าพระอุโบสถ  ครั้นเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศ  โปรดฯ ให้ส่งหลักศิลาทั้งสองนั้นมาด้วย  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามอ่านหลักศิลาของพ่อขุนรามคำแหง เอง แล้วโปรดฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณะเจ้าพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  พร้อมด้วยล่ามเขมรอ่านแปลหลักศิลาของพระธรรมราชาลิไทย ได้ความทราบเรื่องทั้งสองหลัก ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ เสวยราชย์  เมื่อ พ.ศ. 2394  ต่อมาจึงโปรด ฯ ให้ย้ายพระแท่นมนังคศิลามาก่อแท่นประดิษฐานไว้หน้าวิหารพระคันธารราฐในวัด พระศรีรัตนศาสดาราม...
        ใน รัชกาลที่ 5  เมื่อ พ.ศ. 2450  พระยาโบราณราชธานินทร (พร เดชะคุปต์) ได้พบศิลาจารึก (หลักที่ 5 ) ที่วัดใหม่  (ปราสาททอง)  อำเภอนครหลวงแขวงจังหวัดอยุธยาหลักหนึ่ง แต่มีรอยถูกลบมีจนตัวอักษรลบเลือนโดยมาก แต่ยังมีเหลือพอทราบได้ว่าเป็นจารึกกรุงสุโขทัย สืบถามว่าใครได้มาแต่เมื่อใดก็หาได้ความไม่ พระยาโบราณฯ จึงได้ย้ายมารักษาไว้ในอยุธยาพิพิธภัณฑ์สถาน กรมพระยาดำรงราชนุภาพเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตร ทรงพยายามอ่านหนังสือที่ยังเหลืออยู่ ได้ความว่าเป็นศิลาจารึก ของพระธรรมราชาลิไทย คู่กับหลักภาษาเขมรซึ่งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ จารึกความอย่างเดียวกัน เป็นภาษาเขมรหนึ่งหลัก ภาษาไทยหนึ่งหลัก เดิมคงตั้งคู่กันไว้ จึงรับสั่งให้ส่งหลักศิลาจารึกนั้นลงไปไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วยกัน กับหลักภาษาเขมร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้มาจากเมืองสุโขทัยศิลาจารึก ทั้ง 3  หลักนั้นอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนย้ายมายังหอพระสมุด เมื่อ พ.ศ. 2467 
อ้างอิง: ชนม์สวัสดิ์  ชมพูนุช.2514.พระราชประวัติ 9 มหาราช.กรุงเทพฯ: พิทยาคาร


พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระบรมรูป ณ มณฑลพิธี กองหัตถศิลป กรมศิลปากร  วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๓   เวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา      
          เมื่อ กรมศิลปากรได้ปั้นหล่อพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และภาพจำหลักนูนแสดงเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว จังหวัดสุโขทัยได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมรูปจากกองหัตถศิลป กรมศิลปากร ไปยังปะรำประดิษฐานพระบรมรูปชั่วคราว เนินปราสาท เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๘    และได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมรูปจากเนินปราสาท ไปประดิษฐานยังแท่นฐานปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๙ 
          ด้วย พระเกียรติคุณ พระราชกรณียกิจที่ทรงสร้างไว้แก่ประเทศชาตินานัปการ มุ่งประโยชน์สุขของราษฎรเป็นสำคัญ การรวมประเทศ การแผ่ขยายอาณาเขต การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์คิดค้นอักษรไทย อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติ     ประชาชนชาวไทยจึงร่วมใจกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ ประดิษฐานไว้ ณ เมืองกรุงเก่าสุโขทัย  เพื่อเป็นที่เคารพสักการะ และเป็นการเฉลิมพระเกียรติคุณให้ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน   

สมัยรัตนโกสินทร์ยุคประชาธิปไตย

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พัฒนาทางด้านประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่ 4-7
การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 5
    การรับอารยธรรมตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดการยอมรับความคิดของผู้อื่น          
ซึ่งเท่ากับเป็นการปูพื้นฐานประชาธิปไตย พอสรุปได้ ดังนี้
1.ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้น 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of  State)
   และ สภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) เพื่อแสดงการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    แม้สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์แต่ก็นับเป็นการเริ่มระบอบ ประชาธิปไตย
2.ทรงเป็นผู้นำกลุ่ม สยามหนุ่ม (Young Siam) ในการต่อสู้ทางความคิดเห็นกับ
   คนรุ่นเก่าที่มักไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และออกหนังสือชื่อ ดรุโณวาท เพื่อเผยแพร่แนวคิดใหม่
3.ทรงยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มคนหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้ากลุ่มสำคัญกลุ่ม
   หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพระราชวงศ์ และข้าราชการสามัญ ทรงยอมรับฟังว่า   
   หนทางที่ประเทศไทยจะรักษาเอกราชไว้ได้หนทางหนึ่งนั้น คือ การปรับระบบข้าราชการ
   และเปลี่ยนการปกครองแบบ แอบโสลูตโมนากี (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) เป็นแบบคอนสติติวชันแนลโมนากี ห(พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ) แม้จะยังไม่ทรงสามารถปฏิบัติตามในขณะนั้นได้ก็ตาม
4.ทรงออกพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2440 ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่ง คือ
   ให้มีการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งจัดว่าเป็นการปูพื้นฐานประชาธิปไตยที่ชัดเจน

การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 6
     ใน ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญของโลก ที่แสดงพลังอำนาจของประชาชนเป็นกระแสประชาธิปไตยที่รุนแรง กล่าวคือ ใน พ.ศ.2451 (ก่อนขึ้นครองราชย์ 2 ปี) ประเทศตุรกีก็ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นแบบ ประชาธิปไตย ในพ.ศ.2454 เกิดการปฏิวัติในประเทศจีน ขับไล่พระจักรพรรดิเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐและใน พ.ศ.2460 พระองค์ก็ได้ทรงทราบถึงการปฏิวัติใหญ่ของพวกบอลเชวิก ล้มล้างอำนาจ ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์และราชวงศ์ เกิดการนองเลือดทั่วไปในแผ่นดินรัสเซีย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงทราบดีว่ามีกลุ่มประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่งที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบ การปกครอง แม้จะทรงเห็นด้วย แต่ความรู้เรื่องประชาธิปไตยจำกัดขอบเขตอยู่ในคนส่วนน้อยเท่านั้น จึงทรงดำเนินพระราชกุศโลบาย
เพื่อเผยแพร่ประชาธิปไตย เป็น 3 วิธี คือ

     1.ทรงตั้งดุสิตธานี เมืองจำลองประชาธิปไตย ดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองหรือเมืองตุ๊กตา
โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ.2461 บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ในพระราชวังดุสิต (ภายหลังย้ายไปวังพญาไท) มีถนน อาคารสถานที่ราชการ
ร้าน ค้า และบ้านเรือนเหมือนเมืองจริงๆ แต่ย่อส่วนให้เล็กลงพอเดินดูเห็นได้หมดทั้งเมือง แล้วสมมุติให้ข้าราชการบริพาร ขุนนาง มหาดเล็กของพระองค์เป็นราษฎรของเมืองนี้ จัดให้มีการเลือกตั้ง สภานคราภิบาล ทำหน้าที่ปกครองเมือง มีการออกกฎหมายจัดระบบภาษีอากร ระบบการรักษาพยาบาล และกระบวนการต่างๆ
ของ เมืองประชาธิปไตย มีการเรียกประชุมราษฎรสมมุติเหล่านั้น มาร่วมกันเลือกตั้ง และแก้ไขเพิ่มเติมธรรมนูญของดุสิตธานี มีการอภิปรายถกเถียงกันระหว่างคณะนคราภิบาลกับฝ่ายค้านเพื่อเป็นแบบอย่างให้ คนทั้งหลายได้เห็นและคุ้นเคยกับ
กระบวนการประชาธิปไตย เป็นการสอนหลักประชาธิปไตยแก่ประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการเล่นละครอยู่แล้วคนทั่วไปจึงพากันเข้าใจว่าดุสิตธานีเป็นการเล่น ละครอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้ผลในทางปลูกฝังประชาธิปไตยมากนัก

     2.ทรงเขียนบทความหนังสือพิมพ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ทรง เป็นนักอักษรศาสตร์ นอกจากจะทรงมีพระปรีชาสามารถในทางพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองแล้ว ยังทรงเขียนบทความทางการเมืองตอบโต้กับคนหัวใหม่สามัญชน แม้พระองค์จะทรงใช้พระนามแฝงแต่คนทั่วไป
ก็ทราบดีว่าผู้เขียน คือ พระองค์ นับเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในหมู่พสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์มิได้ถือพระองค์ ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นนักประชาธิปไตย เป็นอีกก้าวหนึ่งในการปูพื้นฐานประชาธิปไตยของพระองค์
     3.พระราชทานอภัยโทษ กบฏ ร.ศ.130 กลุ่มผู้ก่อการกบฏ ร.ศ.130 ส่วนใหญ่เป็น
นายทหารหนุ่มซึ่งมีแนวคิดสมัยใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงไม่พอใจวิธีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องการให้มีการปกครอง
แบบ ประชาธิปไตยโดยเร็ว จึงร่วมกันคบคิด แต่ความลับรั่วไหลเสียก่อนถูกจับได้ทั้งหมดจึงถูกจำคุกบ้าง รอการลงอาญาบ้าน แต่ภายหลังก็ทรงพระราชทางอภัยโทษให้ทั้งหมด อีกทั้งยังแจกกางเกง ผ้าขาวม้า และเงิน 100 สตางค์ให้ทุกคนอีกด้วย การพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้อาจนับได้ว่าพระองค์ทรงเล็งเห็นความปรารถนาดี ของกลุ่มก่อการกบฏ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศจึงไม่ทรงเอาโทษ จัดเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่งของพระองค์

การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7
     ได้ กล่าวมาแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปีพ.ศ.2468 ท่ามกลางกระแสความคิดแบบประชาธิปไตย บรรดาสื่อมวลชนในเวลานั้น ซึ่งได้แก่ หนังสือพิมพ์รายวันและรายคาบ ต่างตีพิมพ์บทความแสดงความคิดเห็นทางการเมือง วิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดิน และข้อขัดแย้งระหว่างพระราชวงศ์กับราษฎรสามัญอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญที่พระองค์จะต้องทรงเร่งรีบพิจารณาพระราชทานรัฐ ธรรมนูญแก่ประชาชนโดยเร็ว
สิ่งที่ปรากฏชัดว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงปรารถนาที่จะให้ประชาชนปกครองตนเอง ได้แก่ การที่พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาขณะที่ประทับ รักษาพระเนตรอยู่ที่นั่นว่า พระองค์กำลังทรงเตรียมการที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทย และเมื่อเสด็จกลับประเทศไทยก็ทรงมีพระราชดำริชัดเจนว่าจะพระราชทานรัฐ ธรรมนูญ ในวันที่ 6 เมษายน 2475 วันเดียวกับวันพระราชพิธีเปิดสะพานพระปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ) เนื่องในโอกาสฉลองกรุงที่กรุงรัตนโกสินทร์สถิตสถาพรมาครบ 150 ปี โดยทรงให้ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศจัดร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ได้มอบหมายต่อให้พระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศกับ นายเรย์มอนด์  สตีเวนส์  ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งสองต่างถวายร่างของตน และถวายความเห็นตรงกันว่ายังไม่ควรปกครองประเทศในระบบรัฐสภา เนื่องจากประชาชนยังไม่พร้อม ควรทดลองในระดับท้องถิ่น (เทศบาล) ก่อน ที่สำคัญ คือพระองค์ยังทรงได้รับการทัดทานการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
จาก พระบรมวงศานุวงศ์ในอภิรัฐมนตรีสภา จึงมิได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญตามกำหนดังกล่าว พระราชปณิธานอันนี้เองที่อธิบายได้ว่า เมื่อมีการปฏิวัติยึดอำนาจเหตุใดพระองค์จึงทรงยินดีมอบรัฐธรรมนูญ
ให้แก่พสกนิกรของพระองค์ โดยมิได้ทรงขัดขวาง จะมีขัดขวางก็ที่พระราชวงศ์ผู้ใหญ่บางพระองค์เท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475
นอกจากสาเหตุดั้งเดิมได้กล่าวมาแล้ว ยังเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ดังจะกล่าวต่อไปนี้
     1.เศรษฐกิจตกต่ำ ในระหว่าง พ.ศ.2472-2474 เกิด ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก          สินค้าไทยโดยเฉพาะข้าวราคาตกต่ำ เกิดภาวะขาดแคลนทั่วประเทศ ประกอบกับประเทศไทยมี     รายจ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่สภาพคลอนแคลน
รายได้ – รายจ่ายของประเทศ พ.ศ.2463 – 2468

ปีงบประมาณ
รายได้
รายจ่าย
จ่ายเกิน
พ.ศ.2463
72,500,000
82,130,126
9,630,126
พ.ศ.2464
77,800,000
82,030,582
4,232,582
พ.ศ.2465
79,000,000
87,416,713
8,416,713
พ.ศ.2466
80,000,000
90,216,043
10,216,043
พ.ศ.2467
84,000,000
93,125,688
9,125,688
พ.ศ.2468
91,000,000
94,875,238
3,875,238
ที่มา : เกียรติชัย  พงษ์พาณิชย์, คณะราษฎร : ความขัดแย้งและรูปแบบเพื่อการครองอำนาจ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 6 (10)
มิถุนายน 2515 หน้า 59   ซึ่งรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 7 พยายามแก้ไขสถานะการคลังเป็นหลายวิธี เช่น ลาออกจากองค์การมาตรฐานทองคำ กำหนดค่าเงินบาทขึ้นใหม่ แต่ที่สำคัญซึ่งได้รับความเดือดร้อนกันทั่วไป คือ การเพิ่มภาษีราษฎรและการปลดข้าราชการออกเพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงิน สร้าง             ความไม่พอใจให้แก่ข้าราชการที่พูดกันในสมัยนั้นว่า ถูกดุล เป็นอันมาก
     2.ความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับพระราชวงศ์ สามัญ ชนมีการศึกษาสูงขึ้น ที่จบจากต่างประเทศ กลับเข้ามารับราชการก็มีมาก แต่บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์บางพระองค์ทรงไม่สามารถปรับพระองค์ได้ ยังทรงถือเป็นข้าหรือบ่าวอยู่ตามเดิมอยู่ในลักษณะดูหมิ่นดูแคลน ทำให้สามัญชนที่มีความรู้ความสามารถเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ
     3.แนวคิดที่ได้รับจากตะวันตก ข้าราชการที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกต้องการให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
     4.การประวิงเวลาพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน 2475 การ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มิอาจพระราชทานรัฐธรรมนูญในโอกาสสมโภชกรุงครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2475 เพราะได้รับการทัดทานจากคณะอภิรัฐมนตรี เป็นการเร่งรัดให้มีการปฏิวัติโดยเร็วยิ่งขึ้น เพราะข้าราชการที่มีความคิดก้าวหน้าเห็นว่า หนทางที่จะได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดยไม่ใช้กำลังบังคับนั้นไม่มีแล้ว
เหตุการณ์การปฏิวัติ 
กลุ่ม ผู้ริเริ่ม คือ นักเรียนไทยในฝรั่งเศส ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญตั้งแต่ต้น ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ กับ ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ เมื่อบุคคลเหล่านี้กลับประเทศไทย ก็รวบรวมผู้คนซึ่งมีความคิดอย่างเดียวกัน โดยนายปรีดี  พนมยงค์  ซึ่งได้รับพระราชทางบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์ มนูธรรมเป็นผู้ดำเนินการด้านพลเรือน และร้อยโทแปลก  ขีตตะสังคะ ซึ่งได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เป็นพันตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้ดำเนินการด้านทหาร เมื่อรวบรวมผู้คนได้จำนวนมากพอสมควรจึงตั้งชื่อ  คณะปฏิวัติว่าคณะราษฎร มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์  พหลโยธิน) เป็นหัวหน้า พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ  พันธุมเสน) พันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์ (สละ  เอมะศิริ) และพันโท               พระประสาทพิทยยุทธ (วัน  ชูถิ่น) เป็นรองหัวหน้า
การปฏิวัติเริ่มใน ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  โดยอ้างกับกองทหารต่างๆ ว่าเป็นการซ้อมรบยุทธวิธีอย่างใหม่ เมื่อมาถึงพร้อมกันจึงได้ประกาศว่าเป็นการปฏิวัติ หลังจากพระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศแล้วจึงส่งกำลังเข้าควบคุมสถานที่ สำคัญๆ ทางราชการในกรุงเทพฯ และแยกย้ายกันไปถวายอารักขา (ควบคุม) พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงและบุคคลสำคัญเพื่อเป็นตัวประกันสำหรับต่อรอง เช่น จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์  กรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ประธานอภิรัฐมนตรีสภา และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการพระนครอยู่ พระองค์ท่านทรงตัดสินพระทัยไม่ใช้กำลังโต้ตอบคณะราษฎรให้เกิด
การเสียเลือดเนื้อขึ้น และทรงยินยอม ออกแถลงการณ์ให้ประชาชนอยู่ในความสงบ
ระหว่าง นั้นทางฝ่ายคณะราษฎรได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองให้ประชาชนทราบ และได้แถลงหลัก 6 ประการ อันเป็นนโยบายของคณะราษฎรที่จะนำมาใช้บริหารประเทศ


หลัก 6 ประการของคณะราษฎร


1.หลักเอกราช  จะรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล    ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
2.หลักความปลอดภัย จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก    และสร้างความสามัคคีของคนในชาติ
3.หลักเศรษฐกิจ จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ    จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4.หลักเสมอภาค จะให้ราษฎรมีสิทธิเสมอหน้ากัน ไม่ให้ผู้ใดมีสิทธิเหนือผู้อื่น
5.หลักเสรีภาพ จะให้ราษฎรมีอิสระที่จะใช้สิทธิ ผู้ใดจะบังคับมิได้
6.หลักการศึกษา จะให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างทั่วถึง
   หลัง จากนั้นคณะราษฎรได้ทำหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7    ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ    พระองค์ทรงยอมรับตามข้อเสนอของคณะราษฎร    เพื่อให้ประเทศชาติมีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศตามที่ทรงมี พระราชปณิธานอยู่แล้    ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองประสบความสำเร็จ โดยปราศจากการเสียเลือดเนื้อ
   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2475    คณะราษฎรได้นำรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่ง               
   หลวงประดิษฐ์มนูธรรมและคณะราษฎรบางคนได้ร่าง ขึ้น    ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย    พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่ว คราวในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475    นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
   จากนั้นคณะราษฎรจึงได้คัดเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 คน ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ    ตั้งขึ้นเป็นสภาผู้แทนราษฎร    ละได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด ชุดแรกมีจำนวน 14 คน ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน    ชุดที่สองจำนวน 9 คน เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร

พัฒนาทางการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.2475-ปัจจุบัน)
วิกฤตการณ์ทางการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง    การพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 
     พระ บาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ     ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วจึงได้มีการตั้งคณะรัฐมนตรี จำนวน 20 คนทำหน้าที่บริหารประเทศ มี
พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคน แรกสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่รัชกาลที่ 7 พระราชทานให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ มีดังนี้
1.พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้
2.อำนาจ อธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นพระประมุข ทรงใช้อำนาจนี้แก่โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ    อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ  บริหาร  และตุลาการ
3.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
   มีสมาชิก 2 ประเภท    จำนวนเท่ากันเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยมีสมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ สมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งเข้ามา และประเภทที่ 2    ได้แก่สมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
4.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างน้อย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย
5.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล ซึ่งจัดตั้งตามกฎหมาย เพื่อพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
   ใน ช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขึ้น    ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความคิดเห็นขัดแย้งในคณะรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องเค้า โครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี  พนมยงค์)    ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ดำเนินการตามหลักการของประเทศสังคมนิยม    ซึ่งก็สอดคล้องกับพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7    ในขณะเดียวกันพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ออกคำสั่งห้ามข้าราชการและสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเข้าเป็นสมาชิกสมาคม
   เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเท่ากับจะเป็นการล้มคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2476    พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา    และออกพระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์    ซึ่งเป็นผลทำให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องเดินทางออกนอกประเทศ    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคณะราษฎรจึงปรากฏเด่นชัดขึ้น ในที่สุด    พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาล    เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี    อำนาจของคณะราษฎรจึงคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกันนั้นหลวงประดิษฐ์มนู ธรรมก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยเข้าร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่


กบฏบวรเดช
               

     เหตุการณ์ ในระยะต่อมามีหลายสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสมาชิกคณะราษฎรบางคนละทิ้งสัญญาที่ ให้ไว้กับประชาชน และละเลยหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการปล่อยให้ประชาชนฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนส่วนหนึ่ง พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม กับพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น  ท่าราบ)  และนายทหารผู้ใหญ่อีกหลายคน จึงได้ก่อการกบฏขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2476 เพื่อให้มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่าง แท้จริง คณะกบฏเคลื่อนกำลังทหารนครราชสีมา สระบุรี อยุธยา มาจนถึงดอนเมือง เกิดการสู้รบขึ้นจนถึงขั้นประจัญบาน แต่ในที่สุดกองทหารฝ่ายรัฐบาลอันมีพันตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการรบ ก็สามารถปราบลงได้ พันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามตายในที่รบ และพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเสด็จลี้ภัยไปต่างประเทศ


การสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

     การ กบฏครั้งนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อพระราชฐานะของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว เพราะคณะราษฎรเข้าใจว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการกบฏ ทั้งๆ ที่ทรงวางพระองค์เป็นกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 และคณะราษฎรจึงร้าวฉานยิ่งขึ้น
ต้น พ.ศ.2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จไปรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างนั้นได้ทรงขอให้คณะราษฎรคำนึงถึงความต้องการอันแท้จริงของประชาชน และให้ปกครองประเทศตามหลักสากลเยี่ยงนานาประเทศ แต่ไม่สัมฤทธิผล จึงทรงประกาศสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม 2477  รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นลงมติเห็นชอบกราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (โอรสพระองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5) ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8
การสร้างและพัฒนาชาติด้านการเมือง 
     ใน สมัยประชาธิปไตยของไทย เป็นสมัยที่วิทยาการและเทคโนโลยีของโลกกำลังเจริญขึ้น การติดต่อระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้การบินนานาชาติยังไม่มี แต่การติดต่อสื่อสารทางวิทยุ และโทรเลข ก็สามารถทำได้สะดวก ทำให้ประเทศซึ่งแม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่ เริ่มมีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่การส่งทหารไปร่วมรบในสงครามโลก เป็นต้นมา


การแก้ไขสนธิสัญญาเสียเปรียบและยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต 

     สัญญา เสียเปรียบที่ไทยเราทำกับนานาประเทศไว้ในในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นยังมีผลใช้บังคับเรื่อยมา เป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างและพัฒนาชาติ โดยเฉพาะสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาติต่างๆ ทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงแก้ไข โดยถือโอกาสที่ไทยเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจา คือ ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ เป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและเป็นบุตรเขยของประธานาธิบดีวิลสันแห่ง สหรัฐอเมริกา ภายหลังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยากัลยาณไมตรี แต่เจรจาสำเร็จเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา  2.ญี่ปุ่นเนื่องจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคตเสียก่อน ทำให้ต้องพยายามต่อมา และสามารถแก้ไขได้หมดทุกประเทศในสมัยรัฐบาลประชาธิปไตย ในพ.ศ.2481


กรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ.2483 ไทยได้ดินแดนบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส

     ใน พ.ศ.2482 ได้มีสงครามเกิดขึ้นในทวีปยุโรป กองทัพเยอรมันบุกเข้ายึดประเทศโปแลนด์ รุกเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศในยุโรป จนลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ความรู้สึกชาตินิยมในประเทศไทยทำให้เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืน จากฝรั่งเศส รัฐบาลขอให้ฝรั่งเศสทำความตกลงปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนของ ฝรั่งเศสเสียใหม่ แต่ตกลงกันไม่ได้และฝรั่งเศสยังไม่ล่วงละเมิดพรมแดนไทย และใช้กองทัพเรือฝรั่งเศสในอินโดจีนล่วงล้ำน่านน้ำทะเลไทยทางด้านจังหวัด ตราด จึงเกิดการรบขึ้นทั้งทางบกและทางทะเล กองทัพได้บุกเข้าไปในดินแดนอินโดจีนและยึดดินแดนคืนได้หลายแห่ง แต่ก่อนที่จะยึดได้ทั้งหมด ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจและเริ่มมีบทบาทในอินโดจีน เข้ามาไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสยอมคืนดินแดนฝรั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไปครั้งที่ 4 ในสมัยรัชกาลที่ 5 และปรับปรุงแนวเขตแดนใหม่ ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงส่วนที่ตรงข้ามกับหลวงพระบาง ไทยตั้งชื่อเป็นจังหวัดล้านช้าง และดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตอนล่าง ตั้งชื่อเป็นจังหวัดจำปาศักดิ์ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง การปรับปรุงเขตแดนคราวนี้ ทำให้ราชอาณาจักรไทยครอบคลุมไปถึงทะเสสาบเขมรตอนบน

วิกฤตการณ์ทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
     ก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสงบนั้น ในฐานะที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ จึงถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศ ทิ้งระเบิดทำลายจุดยุทธศาสตร์ เช่น สะพาน โรงไฟฟ้า และอาคารต่างๆ ประชาชนได้รับความลำบากเดือดร้อน จอมพล ป. พิบูลสงคราม (หลวงพิบูลสงคราม) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีเวลานั้น จึงถูกสถานการณ์บีบคั้น ในที่สุดก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2487 เมื่อแพ้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎร


.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง พ.ศ.2488

     เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออก นายควงอภัยวงศ์ (หลวงโกวิทอภัยวงศ์) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ.2475 ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และได้ลาออกให้นายทวี  บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพื่อรอ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  กลับจากสหรัฐอเมริกามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้สถานการณ์บ้านเมืองที่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เนื่องจาก ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  เป็นหัวหน้าคณะเสรีไทย เป็นที่รู้จักดีของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจชั้นนำของฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้น ซึ่ง ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ก็แก้ไขสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จนประเทศไทยไม่มีสภาพเป็นผู้แพ้สงคราม
แม้ ไทยจะได้ชื่อว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 แต่ตลอดเวลานั้นอำนาจในการบริหารประเทศที่แท้จริงตกอยู่ในมือของคณะทหารที่ มี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำ เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม หมดอำนาจลงภายหลังสงครามโลก มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2492 พรรคการเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ประชาชนมีโอกาสได้สัมผัสระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีผู้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นนายกรัฐมนตรี คือ นายปรีดี  พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) และพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์  (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)  แม้ทั้งสองท่านนี้จะร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ด้วย แต่ก็เป็นฝ่ายที่ไม่นิยมใช้กำลัง


รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ , สาเหตุการรัฐประหาร พ.ศ.2490

    หลัง สงครามโลกสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้เสด็จนิวัตประเทศไทย พร้อมด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน) และก่อนที่จะเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 9 มิถุนายน  พ.ศ.2489 คณะทหารซึ่งนิยม จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงอ้างเป็นสาเหตุหนึ่งกระทำรัฐประหารเข้ายึดอำนาจขับไล่รัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 และให้นายควง  อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคสหชีพ ของพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ 6 เดือนต่อมาคณะรัฐประหารก็ให้ออก แล้วเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีแทน


การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ 

    เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงเวลาที่เวทีการเมืองของโลก แบ่งออกเป็น 2 ค่ายใหญ่ ๆ ได้แก่ ค่ายเสรีประชาธิปไตย หรือค่ายตะวันตก มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ กับค่ายคอมมิวนิสต์ หรือค่ายตะวันออกมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ
(ใน พ.ศ.2492 จีนทั้งประเทศตกอยู่ในอำนาจของ เหมา  เจ๋อ  ตุง  ซึ่งปกครองประเทศในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์) ทั้งสองค่ายต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งคุกคามสันติภาพของโลก และแสวงหาประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นพรรคพวก  จอมพล ป. พิบูลสงคราม จังตัดสินใจนำประเทศเข้าร่วมกับค่ายเสรีประชาธิปไตย และทุ่มเทความไว้วางใจให้แก่สหรัฐอเมริกา


การเข้าร่วมสงครามเกาหลี 

    สห ประชาชาติลงมติว่าจีนและเกาหลีเหนือ เป็นฝ่ายรุกรานเกาหลีใต้ ในพ.ศ.2493 และส่งกองทัพสหประชาชาติเข้าไปช่วยเกาหลีใต้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงส่งกำลังทหารไทยไปร่วมในกองทัพสหประชาชาติด้วย ทั้งกำลังทางบกและทางเรือ


สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

    ภาวะ การคุกคามระหว่าง 2 ค่าย ที่เรียกว่า สงครามเย็น ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในที่สุดก็เกิดความร่วมมือทำสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ) ขึ้น ประกอบด้วยสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  ปากีสถาน  ฟิลิปปินส์ และไทย  มีสาระสำคัญว่า เมื่อประเทศใดถูกรุกรานประเทศที่เหลือจะเข้าช่วย


จอมพล ป. พิบูลสงครามกับไฮด์ปาร์คที่สนามหลวง

     การ เข้ามามีอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีโดยอำนาจรัฐประหารใน พ.ศ.2490 ทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการต่อต้านจากประชาชน มีการกบฏเกิดขึ้นหลายหน แต่สามารถปราบได้ เป็นเหตุให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องหาวิธีแก้ไข ได้เดินทางไปดูงานในต่างประเทศ พบว่าประชาชนอังกฤษในลอนดอน มีสิทธิเสรีภาพในการพูดการเมืองที่สนามในสวนหลวงที่ชื่อ ไฮด์ปาร์ค จึงนำมาใช้บ้าง โดยยอมให้มีการพูดการเมืองได้อย่างเสรีที่สนามหลวง (การพูดเช่นนี้ผู้คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ไฮด์ปาร์ค)


รัฐประหาร พ.ศ.2500

     จอม พล ป. พิบูลสงคราม ส่งเสริมประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 แต่ประชาชนไม่พอใจ เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลโกงการเลือกตั้ง เนื่องจากที่เขต (อำเภอ) ดุสิตนั้นนับคะแนนผลการเลือกตั้งเป็นเวลาถึง 3 วัน 3 คืน นิสิตนักศึกษาและประชาชนจึงเดินขบวนไปประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก สามารถทำความเข้าใจกับนิสิตนักศึกษาและประชาชนได้ จึงมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากเคยมีชื่อเสียงในการปราบกบฏมาแล้ว เมื่อเห็นว่าประชาชนสนับสนุน อีกไม่กี่เดือนต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 และเชิญให้นายพจน์  สารสิน เลขาธิการ ส.ป.อ. ซึ่งสหรัฐอเมริกายอมรับนับถือมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยจนตลอดชีวิต)


จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี 

     เมื่อ นายพจน์  สารสิน  จัดการเลือกตั้งสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ลาออกให้ จอมพลถนอม           กิตติขจร (ขณะนั้นมียศพลโท) ผู้ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารใหม่ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐบาลทหารขึ้น มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี


ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ 

     รัฐบาล ทหารของจอมพลสฤษดิ์ บริหารราชการแผ่นดินด้วยความเข้มแข็ง มีการระดมกำลังสมองจากนักปราชญ์นักวิชาการมาช่วยชาติบ้านเมือง เช่น กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (ม.จ.วรรณไวทยากร  วรวรรณ) และหลวงวิจิตรวาทการ เป็นต้น  ปกครองบ้านเมืองอย่างเฉียบขาด มีการตอบโต้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อย่างจริงจัง และสนิทแนบแน่นกับสหรัฐอเมริกา จนได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินมาพัฒนาประเทศเป็นอันมาก
แต่การ บริหารนั้นก็เกิดหละหลวม เมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.2506 จึงมีการกล่าวหาว่าจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จนถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน


รัฐบาลถนอม – ประภาส (พ.ศ.2506 – 2516)

     จอม พลถนอม กิตติขจร  ได้สืบทอดเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากจอมพลสฤษดิ์  คนทั่วไปเรียกว่า รัฐบาลถนอม-ประพาส เพราะจอมพลประภาส  จารุเสถียร ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำลังสำคัญของรัฐบาล เป็นเครือญาติกับจอมพลถนอมโดยการสมรสของบุตร
รัฐบาลถนอม – ประภาส ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ในเวลาหลายปี จนถึงปลายปี พ.ศ.2511 จึงเสร็จและมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในต้นปี พ.ศ.2512 ซึ่งฝ่ายรัฐบาลถนอม-ประภาสตั้งพรรคการเมืองขึ้น ชื่อพรรคสหประชาไทย และชนะการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง จึงมีรัฐบาลถนอม-ประภาสอีก แต่ไม่ถึง 2 ปี จอมพลถนอม กิตติขจรก็ทำรัฐประหารตนเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบรัฐสภาผู้แทนราษฎร ตั้งรัฐบาลทหารขึ้นใหม่ เป็นรัฐบาลถนอม-ประพาส ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น


วันมหาวิปโยค  14  ตุลาคม   2516
     

     การ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ  ทำให้ประชาชนไม่พอใจ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2511 นั้นใช้เวลานานหลายปีผิดปกติอยู่แล้ว ครั้นใช้มาไม่ถึง 3 ปี ก็ยกเลิกเสีย ไม่แน่ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะร่างใหม่ได้สำเร็จ จึงมีนักศึกษา อาจารย์  และนักกฎหมายรวม 13 คน ประกาศเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกต้องจับกุม
เมื่อคณะผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญถูกจับ กุม จึงเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวบุคคลทั้ง 13 คนนั้นการชุมนุมได้รับความสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่เด็ก นักเรียนชั้นมัธยมขึ้นไปฝ่ายรัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม ทำให้เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต เกิดนองเลือดในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 มีผู้คนเสียเลือดเนื้อล้มตาย ทำให้ประชาชนบางพวกโกรธแค้นถึงกับเผาทำลายอาคารสถานที่และยานพาหนะของทาง ราชการ
แต่ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช เหตุการณ์จึงได้สงบ โดยจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส  จารุเสถียร ยอมลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกไปจากพระราชอาณาจักร


นายสัญญา  ธรรมศักดิ์ นายกฯพระราชทาน 

     เมื่อ จอมพลทั้งสองเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา  ธรรมศักดิ์  ประธานองคมนตรีในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  มีภารกิจสำคัญ  คือ ฟื้นฟูระเบียบของบ้านเมือง ประสานสามัคคีในหมู่คนในบ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว  และร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมขึ้นใช้ปกครองประเทศ
ในที่สุดบ้านเมืองก็ สงบดังเดิม  การร่างรัฐธรรมนูญได้เสร็จสิ้นลง และประกาศใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2517 เป็นรัฐธรรมนูญที่นักการเมือง และนักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยดีที่สุด สมกับที่ได้มาด้วยความยากลำบาก


เหตุการณ์ภายหลังวันมหาวิปโยค 

     ภาย หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มีรัฐบาลบริหารประเทศหลายชุด แต่ต่างก็เข้ามาบริหารประเทศในช่วงเวลาสั้นๆ


รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  (ก.พ.2518)

     เริ่ม แรกที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญใหม่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค  ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐบาลขึ้น แต่เมื่อถึงวันแถลงนโยบายไม่ได้รับความไว้วางใจจึงต้องลาออก


รัฐบาล ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์  ปราโมช  (มี.ค.2518 – ม.ค.2519)

     เมื่อ รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ลาออกแล้ว  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  หัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นจากหลายพรรคการเมือง แต่การบริหารประเทศก็มีอุปสรรคอันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคการ เมือง การชุมนุมและเดินขบวนของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกไป จากประเทศไทย และเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ
การบริหารบ้านเมืองของ รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  นายกรัฐมนตรีต้องประกาศยุบสภา  เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่


การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519

     ผล การเลือกตั้งจากการยุบสภา ทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นนายกฯอีกสมัยหนึ่ง แต่ก็ยังมีการประท้วงเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแรงงาน กลุ่มนักศึกษา ซึ่งได้รับการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม เช่น กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน เป็นต้น
การประท้วงครั้งสำคัญ คือการประท้วงการกลับเข้ามาในราชอาณาจักรของสองอดีตผู้นำ จอมพลถนอมกับจอมพลประภาส
ใน ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ความรุนแรงของความขัดแย้งถึงขนาดปะทะกันด้วยกำลัง ในที่ชุมนุมบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และลุกลามออกมาถึงบริเวณสนามหลวง มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต รัฐบาลประชาธิปัตย์ของ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ตก เย็นวันนั้นเอง คณะทหารก็ประกาศยึดอำนาจ เรียกคณะของตนว่าคณะปฏิรูป           การปกครองแผ่นดิน มีพลเรือเอกสงัด  ชลออยู่  ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า และมีพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ เป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อาสาเข้ามาจัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองเสียใหม่ มีการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก และบางคนต้องหลบหนีเข้าป่าไปสมทบกับขบวนการคอมมิวนิสต์ทั้งในประเทศและนอก ประเทศ


รัฐบาลนายธานินทร์  กรัยวิเชียร  (8 ต.ค. – 19 ต.ค.2520)

     มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายธานินทร์  กรัยวิเชียร  เป็นนายกรัฐมนตรี     โดยมีรัฐธรรมนูญซึ่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงประกาศใช้ปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลักการสำคัญ คือ นายกรัฐมนตรี กับคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญสมัยเผด็จการ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่เหล่าทหารบางกลุ่ม นักการเมือง และประชาชน จนทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารขึ้น โดยมี     พลเอกฉลาด  หิรัญศิริ  เป็นหัวหน้า  แต่ถูกปราบปรามลง กลายเป็นขบถและหัวหน้ากลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารขึ้น ตามอำนาจเบ็ดเสร็จที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ


พลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์  ปฏิวัติและเป็นนายกรัฐมนตรี (11 พ.ย. 2520 – 3 มี.ค.2523)

     การ บริหารอย่างเด็ดขาดของรัฐบาลนายธานินทร์ สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน และขัดแย้งกับทหารในคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด พลเรือเอกสงัด  ชลออยู่  ก็ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลและยุบสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีพระบรม                  ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ สมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามา และสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ทั้งยังขัดแย้งกับทหารกลุ่มหนุ่ม (ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า กลุ่มยังเติร์ก) ทำให้ต้องลาออก และพลเอกเปรม    ติณสูลานนท์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายทหารกลุ่มหนุ่ม ได้เป็นนายกรัฐมนตรี


รัฐบาลพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ (พ.ศ.2523-2531)

     พล เอกเปรม  ติณสูลานนท์  ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ.2523 และเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องอยู่นานถึง 8 ปี เนื่องจากพลเอกเปรมเป็นผู้ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด แต่รวมมือกับพรรคการเมืองและนักวิชาการตั้งรัฐบาลผสมขึ้น เป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษในการประสานความคิดและรู้จักผ่อนปรน   เป็นผู้ริเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายปราบปรามผู้ก่อการร้ายจากการใช้กำลังเป็น การให้ความเห็นใจ เช่น ไม่เอาโทษผู้ก่อการร้ายที่กลับใจ  ช่วยหาอาชีพให้ เรียกผู้กลับใจว่า ผู้ร่วมพัฒนาชาติ  เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ก่อการร้าย จึงทำให้มีจำนวนผู้ร่วมพัฒนาชาติมากขึ้นทุกที จนในที่สุดการก่อการร้ายก็หมดไป พร้อมกันนั้นก็เริ่มวางพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง เช่น การนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ และการสร้างท่าเรือน้ำลึก โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) เป็นต้น
หลังการเลือกตั้งใน พ.ศ.2531 พลเอกเปรม ก็วางมือจากการเมืองปล่อยให้นักการเมืองเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลกันเอง


รัฐบาลพลเอกชาติชาย  ชุณหวัณ (พ.ศ.2531-2534)

     เมื่อ พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  วางมือ บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ก็สนับสนุนให้พลเอกชาติชาย  ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลผสมขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลพวงจากการวางรากฐานของรัฐบาลพลเอกเปรมเริ่มสัมฤทธิ์ผล การเศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว จัดเป็นชาติหนึ่งที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงสุดในโลก แต่รัฐบาลที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง รัฐมนตรีบางคนทุจริต กลุ่มทหารที่มีพลเอกสุนทร  คงสมพงษ์  เป็นหัวหน้าจึงเข้าทำการปฏิวัติ


สภา รสช. กับรัฐบาลนายอานันท์  ปันยารชุน  (พ.ศ.2534 – 2535)

     คณะ ปฏิวัติได้จัดการปกครอง โดยมีสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และได้ดำเนินการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายอานันท์  ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี


จลาจล (พฤษภาทมิฬ) พฤษภาคม 2535

      หลัง จากร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 เสร็จแล้ว รัฐบาลนายอานันท์  ก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคการเมืองหลายพรรคได้รวบรวมเสียงข้างมากสนับสนุนให้ พลเอกสุจินดา  คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น สร้างความไม่พอใจให้แก่นักศึกษา นักการเมือง และประชาชน เพราะเห็นว่าพลเอกสุจินดา  เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคณะ รสช. และทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้ไม่พอใจซึ่งมีพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำ  จึงทำการประท้วงอย่างกว้างขวาง เรียกร้องให้พลเอกสุจินดา  คราประยูร ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประการ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง
รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ไม่ยอมลาออก ซ้ำยังใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมเดินขบวน ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง แต่ผู้ชุมนุมก็ผนึกกำลังต่อสู้อย่างไม่ลดละ


พระบารมียุติการจลาจล 

     เมื่อ การชุมนุมต่อต้านพลเอกสุจินดา ไม่มีทีท่าว่าจะยุติได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุจินดา กับพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ เพื่อพระราชทานโอวาทให้ปรองดองกัน โดยทรงมอบหมายให้ พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  ซึ่งดำรงตำแหน่งองคมนตรี เป็นผู้ประสานความเข้าใจ การจลาจลจึงยุติลง พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออก และนายอานันท์  ปันยารชุน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่งเพื่อดำเนินการเลือกตั้ง ใหม่


รัฐบาลหลังยุค รสช.

     รัฐบาลนาย อานันท์  ได้ยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ.2535 ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคอื่นๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นเสียงข้างมากจึงต้องตั้งรัฐบาลผสมขึ้น มีนายชวน  หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อยู่ได้เพียง 2 ปีเศษ ก็ต้องลาออก เพราะถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เมื่อรัฐบาลนาย ชวน  หลีกภัย  ลาออกแล้วก็จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเดือนกรกฎาคม   พ.ศ.2538 พรรคชาติไทยได้เสียงมากกว่าพรรคอื่นๆ จึงได้รับมอบหมายให้จัดตั้งรัฐบาลโดยมี          นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย  เป็นนายกรัฐมนตรี และได้บริหารราชการมาเป็นเวลา  1 ปี 2 เดือน จึงถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว เนื่องจากไม่ได้บริหารราชการให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ แม้จะได้รับมติความไว้วางใจให้บริหารราชการ
ต่อไปได้ แต่นายกรัฐมนตรีก็ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2539 และจัดให้มี           
การเลือกตั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539

      ผลจากการเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคความหวังใหม่ที่มีพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ  เป็นหัวหน้า ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด จึงได้จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น โดยมีพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2539แต่การเมืองการปกครองบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นย่อมจะไม่ราบ รื่นเรียบร้อยเสมอไป
ความยุ่งยากทางการเมืองของไทย ยังคงมีต่อมาเป็นประวัติศาสตร์ที่เราจะต้องศึกษาต่อไป
หลัง จากพลเอกชวลิต    ยงใจยุทธ  เป็นผู้นำในการบริหารประเทศมาได้ระยะหนึ่งก็เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (ยุค IMF)  พลเอกชวลิต  ยงใจยุทธก็ประกาศลาออก  รัฐบาลที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อมาก็คือรัฐบาลที่นำโดยนายชวน   หลีกภัย  แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้หมดไปจนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ และพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็คือ               พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ    ชินวัตร  เป็นหัวหน้าพรรคและได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี  หัวหน้าคณะรัฐบาล สามารถบริหารประเทศให้มีภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น        ในเวลาต่อมาแต่ก็มีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข ถือว่าความยุ่งยากทางการเมืองก็ยังไม่หมดไปจากสังคมไทย
อดีตรัฐบาลที่ นำโดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ     ชินวัตร ก็ได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 2  หลังจากสามารถบริหารประเทศครบตามวาระ 4 ปี ในสมัยแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้